นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมาตรการทางเศรษฐกิจล่าสุดของไทย ว่าเป็นการเดินมาถูกทางแล้ว แต่ยังคงเป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น โดยเฉพาะการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากเดิมร้อยละ 2.00 เหลือร้อยละ 1.75 ต่อปี พร้อมกับการที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ปรับลดค่าไฟฟ้าจาก 4.15 บาทต่อหน่วย เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย ซึ่งมาตรการเหล่านี้สามารถช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนและลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม นายสมชายได้เน้นย้ำว่าแม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพยายามช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ แต่มาตรการเหล่านี้เป็นเพียงการบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้นเท่านั้น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่กำลังเผชิญอยู่ได้อย่างยั่งยืน ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนสูงและอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ
นักวิชาการท่านนี้ได้เสนอแนวทางเพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในระยะยาวไว้ 4 ประการสำคัญ ดังนี้
แนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระยะยาว 4 ประการ
1. การช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย
รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือที่เจาะจงไปยังกลุ่มเป้าหมายที่มีความเปราะบางมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ การออกแบบมาตรการที่ตรงจุดจะช่วยให้การใช้ทรัพยากรของรัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการที่แท้จริง
2. การเตรียมรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
รัฐบาลต้องเร่งทำการบ้านอย่างหนักในการวางแผนรับมือกับนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อให้กระทบกับประเทศไทยน้อยที่สุด ทั้งนี้ควรมีการวางแผนเจรจากับสหรัฐฯ อย่างมีดุลยภาพ พร้อมทั้งเร่งขยายตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป โดยเฉพาะการส่งออกซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ
3. การควบคุมการขยายตัวของหนี้
จำเป็นต้องมีมาตรการรองรับเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนและหนี้ภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัญหาหนี้สินเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การดำเนินมาตรการเชิงป้องกันจะช่วยลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศในระยะยาว
4. การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ประเทศไทยต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจและบุคลากร ผ่านการพัฒนาทักษะแรงงาน การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการผลิต และการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
นายสมชายยังได้เน้นย้ำว่า การส่งเสริมการลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปัจจุบันจะมีแนวโน้มการลงทุนลดลงก็ตาม หากรัฐบาลมีการเตรียมความพร้อมและวางแผนอย่างรอบคอบ โครงการนี้จะเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศ
นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว จะเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับมูลค่าของสินค้าและบริการของไทย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
นักวิชาการท่านนี้สรุปว่า มาตรการลดดอกเบี้ยนโยบายและลดค่าไฟฟ้าเป็นเพียงการบรรเทาความเดือดร้อนชั่วคราวเท่านั้น แต่การที่จะทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตอย่างยั่งยืนได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ ความสามารถในการสร้างมูลค่าและจำหน่ายสินค้าได้จริง และการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการและแรงงานไทยอย่างต่อเนื่อง
ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอน การดำเนินมาตรการแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งการแก้ไขปัญหาระยะสั้นและการวางรากฐานเพื่อการเติบโตในระยะยาว จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถฝ่าฟันวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญอยู่ และก้าวไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต