เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ภายหลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee หรือ GBC) เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ซึ่งนำโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย และพลเอกเตีย เซ็ยฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้มีการเจรจาเพื่อลดความขัดแย้งตามแนวชายแดนระหว่างสองประเทศ
แหล่งข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า ในวันที่ 2 พฤษภาคม ได้มีการพูดคุยระดับทหารกับฝ่ายกัมพูชาเพื่อลดการเผชิญหน้าและป้องกันการปะทะในพื้นที่ที่ยังไม่มีความชัดเจนในการปักปันเขตแดน โดยเฉพาะบริเวณช่องบกและช่องอานม้า ในจังหวัดอุบลราชธานี
ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้งสองฝ่ายตกลงให้กำลังทหารถอนกำลังห่างจากพื้นที่พิพาทเป็นระยะทาง 5 กิโลเมตร แต่ในระยะหลังมีการวางกำลังของทั้งสองฝ่ายเพื่อรักษาพื้นที่ จึงมีการหารือให้กำลังทหารทั้งสองฝ่ายกลับไปอยู่ในจุดเดิมพร้อมกัน เพื่อลดความตึงเครียดและให้เป็นไปตามข้อตกลงจากการประชุม GBC เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม
ความพยายามในการลดความตึงเครียดครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นระหว่างไทยและกัมพูชาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์ที่ปราสาทตาเมือนธม ในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งกลายเป็นจุดขัดแย้งสำคัญระหว่างสองประเทศ
ปมขัดแย้งปราสาทตาเมือนธม – มรดกโบราณที่ยังคงเป็นพื้นที่พิพาท
ปราสาทตาเมือนธม (Prasat Ta Muen Thom) หรือที่กัมพูชาเรียกว่า ปราสาทตามาน์ธม (Prasat Ta Moan Thom) เป็นปราสาทขอมโบราณตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา บนเทือกเขาพนมดงรัก ในอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งปราสาทแห่งนี้เป็นหนึ่งในจุดแวะพักสำคัญบนเส้นทางโบราณที่เชื่อมระหว่างเมืองพิมายในประเทศไทยปัจจุบันกับนครวัดในกัมพูชา
แหล่งข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า ปราสาทตาเมือนธมเป็นพื้นที่ของประเทศไทย และทหารไทยยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาพื้นที่ตามปกติ ซึ่งสอดคล้องกับคำยืนยันของ พลโทบุญสิน พัดกล่ำ แม่ทัพภาคที่ 2 ที่ระบุว่า “พื้นที่ปราสาทตาเมือนธมเป็นของประเทศไทย แต่มีพื้นที่ทับซ้อนในบริเวณที่ยังไม่ได้มีการปักปันเขตแดน” โดยไทยอนุญาตให้ชาวกัมพูชามาเยี่ยมชมปราสาทได้ แต่ห้ามแสดงออกทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ที่สร้างความตึงเครียดขึ้น เมื่อกลุ่มทหารกัมพูชาเข้ามาในบริเวณปราสาทและร้องเพลงชาติกัมพูชา ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากับทหารไทยที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ กองพลทหารราบที่ 9 หรือกองพลสุรนารี ได้มีหนังสือประท้วงไปยังรัฐบาลกัมพูชา ถึง “พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม” ดังกล่าว
เหตุการณ์นี้ได้ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ออกมาแสดงจุดยืนว่าอาจใช้กำลังทหารหากฝ่ายไทยละเมิดอธิปไตยของกัมพูชาบริเวณปราสาทแห่งนี้ โดยกล่าวว่า “กัมพูชาขอสงวนสิทธิ์ในการปกป้องอธิปไตยด้วยทุกวิถีทาง รวมถึงการใช้กำลังทหาร” ขณะที่ฝ่ายไทยยังคงยืนยันว่าปราสาทตาเมือนธมตั้งอยู่ในดินแดนของไทย
ความตึงเครียดยังเพิ่มขึ้นเมื่อเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2568 พรรคทางเลือกใหม่ นำโดยนายราเชนทร์ ตระกูลเวียง หัวหน้าพรรค มีแผนจัดกิจกรรมร้องเพลงชาติไทยที่ปราสาทตาเมือนธม แต่ทางทหารได้ขอให้เปลี่ยนสถานที่เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า เนื่องจากกัมพูชาก็ได้มีการระดมผู้คนมาตามแนวชายแดนเช่นกัน
ความขัดแย้งยาวนานในอดีต
ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาเรื่องพื้นที่ชายแดนไม่ใช่เรื่องใหม่ ในประวัติศาสตร์ได้เคยมีกรณีพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหารที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาพนมดงรักเช่นกัน โดยในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา แต่ไม่ได้รวมถึงพื้นที่โดยรอบปราสาทซึ่งมีขนาด 4.6 ตารางกิโลเมตร
ในช่วงปี 2551-2554 ได้เกิดการปะทะกันหลายครั้งระหว่างทหารไทยและกัมพูชาบริเวณปราสาทพระวิหาร และขยายไปถึงพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมในเดือนเมษายน 2554 ความขัดแย้งดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่าย
ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศยังเกี่ยวพันกับประเด็นอื่นๆ เช่น กรณีพิพาทเกาะกูด/เกาะกุต ในอ่าวไทย และการเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area หรือ OCA) ซึ่งทำให้มีกระแสชาตินิยมจากทั้งสองฝ่าย
การดำเนินการต่อไป
ตามแหล่งข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า ฝ่ายไทยพร้อมปฏิบัติตามนโยบายของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือกับกัมพูชาเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติพร้อมกัน โดยหากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง จะมีการรายงานให้ผู้บังคับบัญชาของฝ่ายนั้นรับทราบ
การประชุม GBC ครั้งนี้ถือเป็นความพยายามสำคัญในการลดความตึงเครียดและหาทางออกร่วมกันระหว่างสองประเทศ ภายใต้การนำของรัฐบาลชุดปัจจุบันของทั้งสองฝ่าย ที่ต่างพยายามเดินหน้าความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าระหว่างกัน แม้จะมีข้อพิพาทตามแนวชายแดนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ทั้งนี้ กองทัพไทยยังคงยืนยันว่า ปราสาทตาเมือนธมอยู่ในอธิปไตยของไทย และทหารไทยจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาพื้นที่ตามปกติ ขณะที่กระบวนการเจรจาระหว่างสองประเทศจะยังคงดำเนินต่อไปเพื่อลดความขัดแย้งและสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวชายแดนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพในภูมิภาค โดยเฉพาะในช่วงที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมภายหลังวิกฤตโควิด-19 การมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นจะช่วยส่งเสริมการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประชาชนในพื้นที่
นอกจากนี้ การลดการเผชิญหน้าทางทหารยังจะช่วยให้ประชาชนทั้งสองฝ่ายสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข โดยเฉพาะชุมชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากความตึงเครียดระหว่างสองประเทศมาอย่างยาวนาน